วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Operation BIM ปฏิบัติการเพื่อภูมิคุ้มกันที่สมดุล



Operation BIM ปฏิบัติการเพื่อภูมิคุ้มกันที่สมดุล
บิม ภูมิคุ้มกันสมดุล GM-1 8 สินค้า
องค์การมหาชน และ บริษัทมหาชน ประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเหนือจรด ใต้ ร่วมปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION “BIM”) เพื่อสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้ และ ธัญพืชในประเทศไทย เป็นวัตถุดิบ และ เกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อ เนื่อง

OPERATION “BIM” (Balancing Immune) จะ ส่งผลให้ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถป้องกันสิ่ง และ สารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพและ ก่อให้เกิดโรคร้าย เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง และ ร่างกายสามารถลดอาการผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะแพ้ภูมิตัวเอง ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง สะเก็ดเงิน กระเพาะลำไส้อักเสบ ข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน อาการแพ้ หัวใจ ตับและไตทำงานผิดปกติ หอบหืด สันนิบาต อาการชัก เป็นต้น

ความสามารถของร่างกายในการป้องกันและ / หรือ ลดอาการผิดปกติในร่างกาย ซึ่งบั่นทอนสุขภาพนี้ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ในระดับน้อยเกินไปจนติดเชื้อ และ ถูกกระทบโดยสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย และไม่อยู่ระดับมากเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Auto-immune diseases) หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดภาวะภูมิบำบัด (Auto-immunotherapy) ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันสมดุล (Immune Balance หรือ Immunomodulation) ขึ้นในร่างกาย

ภูมิบำบัดที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลจากการกระตุ้นการหลั่ง Interleukin-2 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่าง มหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และ เป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin-1 ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ลดน้อยจนเกิดสภาวะไม่สมดุล
Operation BIM"ปฏิบัติการเพื่อภูมิคุ้มกันที่สมดุล
ปฏิบัติการเพื่อภูมิคุ้มกันที่สมดุล หรือ Operation “BIM” (Balancing Immune) ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไทยได้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2551 ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 34 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ การค้นพบครั้งนี้จะสามารถช่วยปรับความสมดุลสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และป้องกันสารแปลกปลอมจากภายนอกที่เข้ามาทำลายสุขภาพ เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง ที่ก่อให้เกิดโรคร้ายสารพัด
องค์การมหาชนและบริษัทมหาชนประสานนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐเหนือจรดใต้ร่วมปฏิบัติการ “BIM” (OPERATION “BIM”) เพื่อสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าของประชากรโลก ส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนที่ใช้ผลไม้และธัญพืชในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบ และเกิดมาตรการที่สามารถยกระดับราคาของผลผลิตทางธรรมชาติเหล่านี้อย่างถาวรต่อเนื่อง

OPERATION “BIM” (Balancing Immune) จะส่งผลให้ประชากรโลกสามารถมีอายุยืนขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถป้องกันเชื้อโรคและสารแปลกปลอมจากภายนอกที่ทำลายสุขภาพและก่อให้เกิดโรคร้าย เช่น สารเคมีอันตราย เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ตลอดจนเซลล์มะเร็ง และร่างกายสามารถลดอาการผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่ส่งผลให้เกิดปัญหาทางผิวหนัง สะเก็ดเงิน กระเพาะลำไส้อักเสบ ข้อเข่าเสื่อม เบาหวาน อาการแพ้ หัวใจ ตับและไตทำงานผิดปกติ หอบหืด สันนิบาต อาการชัก เป็นต้น
ตำแหน่งของโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง
ความสามารถของร่างกายในการป้องกันและ/หรือลดอาการผิดปกติในร่างกายซึ่งบั่นทอนสุขภาพนี้ เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ในระดับน้อยเกินไปจนติดเชื้อและถูกกระทบโดยสิ่งแปลกปลอมได้ง่าย และไม่อยู่ระดับมากเกินไปจนเกิดอาการผิดปกติ หรือโรคที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเอง (Auto-immune diseases) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดภาวะภูมิบำบัด (Auto-immunotherapy) ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันสมดุล (Immune Balance หรือ Immunomodulation) ขึ้นในร่างกาย
ภูมิบำบัดที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากการกระตุ้นการหลั่ง Interleukin-2 (อินเทอร์ลูคิน-ทู) ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง และเป็นผลจากการลดการหลั่ง Interleukin-1 (อินเทอร์ลูคิน-วัน) ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลที่ทำให้เกิดการแพ้ภูมิตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่ลดน้อยจนเกิดสภาวะไม่สมดุล
ความสามารถของร่างกายในการเพิ่ม Interleukin-2 และลด Interleukin-1 นี้เกิดขึ้นได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM ซึ่งได้จากการผสมสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ (Synergistic) โดยใช้ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสารธรรมชาติสุดยอดสรรพคุณเหล่านี้ ที่นักวิจัยสหวิชาการได้สะสมมาตลอดระยะเวลา 31 ปี ผนวกกับความรู้ปัจจุบันทันสมัยของชีวโมเลกุลที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ในวันนี้
โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จาก Operation “BIM” เราสามารถเพิ่ม Interleukin-2 ในร่างกายได้เองในปริมาณที่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลข้างเคียง แล้วยังสามารถลดความผิดปกติที่เกิดจากการแพ้ภูมิตัวเองได้อีกด้วย
สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้ใช้ Interleukin-2 เป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้าใต้ผิวหนังเพื่อรักษามะเร็งขั้นสุดท้าย บริษัทยาบริษัทหนึ่งมีรายได้จากการจำหน่ายยานี้กว่า 124 ล้านเหรียญในปี2005 การรักษาด้วยยานี้ได้ผลดี แต่มีผลข้างเคียงร่วมด้วย
การรวมพลังทางสติปัญญา ความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์วิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากหลากหลายสาขาวิชาการเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณจากองค์การมหาชนสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และบริษัทมหาชน Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd. จึงทำให้เกิด OPERATION “BIM” อันเป็นกระบวนการรวมพลังครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ไทย
นักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนร่วมทำให้เกิด OPERATION “BIM” มีมากกว่า 25 คน และที่มีบทบาทสำคัญ คือ
  1. รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม (นักวิจัยเคมีอินทรีย์) และ ภ.ญ.รศ.ดร. เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร (เภสัชกรและนักวิจัยจุลชีววิทยา) ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ทำงานการสอนและการวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มากว่า 20 ปีแล้ว ยังเป็นนักวิจัยชั้นนำของสถานวิจัยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย
  2. ภ.ญ.รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง ( นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และพิษวิทยาของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) ผู้เชี่ยวชาญของ UNESCO ทางด้านการศึกษาฤทธิ์การต้านการอักเสบของสารสกัดจากสมุนไพรในเอเชีย และทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากกว่า 35 ปี
  3. รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ (นักวิจัยชีวเคมี) ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้รับรางวัลวิจัยยอดเยี่ยมจากสำนักงานสนับสนุนการวิจัย ได้รับรางวัล Cerebos Award ในปี 2006 และเป็นผู้ทำการสอนการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากว่า 20 ปี
  4. ผศ.ดร.ศิริวรรณ องค์ไชย (นักวิจัยชีวเคมี) นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านผลของสมุนไพรต่อกระดูกอ่อนของศูนย์ความเป็นเลิศในการวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อ ทำการสอนและการวิจัยในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากว่า 15 ปี
  5. ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา (นักวิจัยเคมีอินทรีย์และฤทธิ์ชีวภาพของผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ) นักวิจัยผู้ศึกษาสารสกัดและฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชสมุนไพรกว่า 200 ชนิด เป็นนักวิจัยรับเชิญของสถาบันวิจัยมะเร็งในประเทศเยอรมัน ทำการสอนและการวิจัยในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รวมเวลา 26 ปี ก่อนหันทิศทางชีวิตออกจากมหาวิทยาลัยจัดตั้งบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยพัฒนาและพาณิชย์ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการ และ CEO ของ Asian Phytoceuticals Public Co., Ltd.
จุดเริ่มต้นของ OPERATION “BIM” เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เมื่อคณะนักวิจัยในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้รับคำแนะนำจากนักการภารโรง (นายเขียว พัฒจรินทร์) ว่าเปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสสามารถใช้ทาแผลทำให้แผลแห้งและหายอย่างรวดเร็ว คณะนักวิจัยจึงเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการแยกสารที่ออกฤทธิ์จากเปลือกมังคุด ซึ่งหากเป็นประโยชน์ก็จะเป็นวิธีการกำจัดขยะจากเปลือกมังคุด ด้วยเหตุนี้การวิจัยเกี่ยวกับมังคุดตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในลักษณะของความร่วมมือ ของนักวิจัยสหสาขาวิชาการ จึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ปี
ก่อนจะสรุปได้ว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งการเจริญ และฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและระงับปวดในสัตว์ทดลอง โดยมีความแรงของฤทธิ์เป็น เท่าของแอสไพริน ลดอาการแพ้และแก้ปวดในหนูทดลอง ต้านอนุมูลอิสระได้ดี สมานผิวได้อย่างรวดเร็ว และฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ และจากการทดสอบความปลอดภัย พบว่า สาร GM-1เป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง และปลอดภัยกว่าสารธรรมชาติที่ให้รสเปรี้ยว (citric acid) ในมะนาวและส้มถึง เท่า
จากข้อจำกัดทางด้านเงินทุน และกฏเกณฑ์ที่ถูกกำหนดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วที่ใช้ใน World Health Organization ทำให้การพัฒนา GM-1ไปใช้เป็นองค์ประกอบของยาแผนปัจจุบันเป็นไปได้น้อยมาก คณะวิจัยจึงได้แต่เพียงนำ GM-1 เสริมกับสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางสำหรับผู้มีปัญหาสภาพผิวเรื้อรังจากสิวและอาการแพ้
จากการร่วมวิจัยพัฒนาและทดสอบกับบริษัท Henkel KGa ของประเทศเยอรมัน จึงได้มีการผลิตสบู่ เจลล้างหน้า ครีมบำรุง ครีมกันแดด ครีมอาบน้ำ ครีมสิวที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญคือ สารสกัดจากเปลือกมังคุด GM-1 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกของโลก โดยไม่มีส่วนผสมของ Tannin ในเปลือกมังคุด อันอาจทำให้ผิวคล้ำได้อยู่ด้วย
ผลงานวิจัยของคณะนักวิจัยไทยได้รับการเผยแพร่ทั้งในสื่อภายในประเทศและพิมพ์เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการทั่วโลก ก่อให้เกิดการวิจัยตามมาจาก นักวิจัยหลายคณะซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิจัยไทย ในค.ศ. 2003 บริษัทอเมริกันบริษัทหนึ่งได้นำผลงานวิจัยเหล่านี้ไปใช้ในการระบุประสิทธิภาพ ของน้ำมังคุดที่จำหน่ายในอเมริกาและยายออกไปทั่วโลก เกิดการสร้างรายได้ (โดยการจำหน่ายในระบบขายตรงหลายชั้น) 40,000 ล้านบาทในเวลา 2 ปี ทำให้เกิดการแข่งขันในการผลิต และจำหน่ายอย่างกว้างขวาง แต่ทว่าผลิตภัณฑ์น้ำมังคุดเหล่านี้ล้วนมีสีน้ำตาลเข้ม เพราะใช้เปลือกมังคุดผสม
ในเชิงวิทยาศาสตร์การผลิตลักษณะนี้เป็นการผลิตที่ง่ายเกินไป และไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเปลือกมังคุดไม่ใช่ ของบริโภคแต่ทิ้งเป็นขยะ จะใช้ต้มดื่มบ้างก็ต่อเมื่อใช้แก้อาการท้องเดินนาน ๆ ครั้ง คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณอาจจะมีประสบการณ์จนเกิดเป็นความรู้ว่าไม่ควรบริโภคเปลือกมังคุด เพราะก่อให้เกิดโทษได้ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น เพราะในเปลือกมังคุดมีสารแทนนินอยู่ในปริมาณมาก หากบริโภคมากเกินไป จะทำให้ท้องผูกและเป็นพิษต่อตับ มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และลดการดูดซึมอาหารผ่านกระเพาะ อีกทั้งมีผลงานวิจัยระบุว่าแทนนินเป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็งในร่องแก้ม และทางเดินอาหารได้ด้วย นอกจากนี้เปลือกมังคุดยังอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ที่ใช้ในการพ่นผลมังคุดในระหว่างการปลูกอีกด้วย
คณะนักวิจัยมังคุดของไทยได้เฝ้าติดตามกรณี ของน้ำมังคุดที่จำหน่ายอยู่ด้วยความเป็นห่วงว่า สักวันหนึ่งอาจมีผู้บริโภคน้ำมังคุด ที่มีส่วนผสมของเปลือกมากเกินไป จนเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ ประกอบทั้งมีข่าวเล่ากันว่ามีผู้บริโภคแล้วคันตามตัวบ้าง ท้องผูกบ้าง ท้องเดินบ้าง ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้จุดประกายเกี่ยวกับ ประโยชน์ของมังคุดจนเกิดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ขึ้น คณะนักวิจัยจึงเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ที่จะต้องให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ให้พึงระวังถึงผลข้างเคียงอันอาจจะเกิดขึ้น และในขณะเดียวกันก็ควรที่จะต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในลักษณะที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียง ควรจะเป็นเช่นไร

และในปี 2007 เมื่อราคามังคุดตกต่ำลงจนเกือบไม่คุ้มที่จะเก็บผลจากต้น สร้างความทุกข์ให้แก่ชาวสวนที่เฝ้าฟูมฟักรักษาผลมังคุดมาตลอดปีด้วยกำลังกายและกำลังทรัพย์ คณะนักวิจัยจึงเห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องนำความรู้ ผลงานวิจัย และประสบการณ์เกี่ยวกับมังคุดมาใช้ในการแก้ไขปัญหาชาวสวนพร้อมๆกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า มีความปลอดภัยมากกว่า การดื่มน้ำมังคุด ผสมเปลือกหลายเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้ OPERATION “BIM” จึงเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเป็นกระบวนการต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
จากการวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การใช้สารจากมังคุดบริโภคเพื่อให้เกิดภูมิสมดุลในร่างกายจะต้องใช้ในปริมาณ มากจึงจะแสดงประสิทธิภาพ และเมื่อใช้ต่อเนื่องเพื่อเสริมสุขภาพในระยะยาวอาจเกิดการสะสมมากจนกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ได้
คณะนักวิจัยจึงได้ใช้ศาสตร์ของการเสริมฤทธิ์ โดยนำสารธรรมชาติสุดยอดจากผลไม้และธัญพืชหลากชนิดผสมกับสาร GM-1 จนได้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM หลังจากการทดสอบจนแน่ใจว่ามีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย และไร้ผลข้างเคียงแล้ว จึงจดทะเบียนกับสำนักงานอาหารและยาเป็นแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมทั้งได้จดสิทธิบัตรสูตรไว้ด้วย
ในขณะเดียวกันคณะนักวิจัยได้ใช้ความรู้จากปริมาณสารที่มีอยู่ในแคปซูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นหลักในการผลิตน้ำมังคุดสกัดเข้มข้นที่ใช้แล้วได้ผลเช่นเดียวกัน โดยที่ไม่มีการเติมสีสังเคราะห์ ไม่เติมน้ำตาล ไม่มีสารกันบูด ไม่แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี ไม่มีส่วนเปลือกซึ่งอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ไม่มีแทนนินสีน้ำตาลจากเปลือกในปริมาณมากจนเกิดผลข้างเคียง แต่สามารถช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุล เช่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM และได้ทำการจดสิทธิบัตรกระบวนการผลิตไว้เมื่อกลางปี 2551 นี้
เพียงในระยะเวลา 1 ปีที่มีผู้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติสูตรพิเศษ BIM โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นแคปซูลเสริมอาหาร ผลที่ได้รับจากการใช้ของผู้บริโภคได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ทั้งผู้บริโภคและคณะนักวิจัยอย่างมาก ประสิทธิภาพเอนกอนันต์ที่ได้รับรายงานจากผู้บริโภค และผลที่ได้จากการทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์สากลในห้องปฏิบัติการและในอาสาสมัคร ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า OPERATION “BIM” จะเป็นปรากฏการณ์สร้างประโยชน์แก่ประชากรทั่วโลกอย่างสูงยิ่ง และสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยโดยถ้วนหน้า ที่นักวิทยาศาสคร์ของไทยสามารถรวมพลังสติปัญญา ความรู้และประสบการณ์ในการคิด “นอกกรอบ” พัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในโลกแห่งวิทยาการ...
ตัวอย่างผู้ที่ได้เข้าร่วมในปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกันสมดุล BIM
01
  • ตัวอย่างผู้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยมะเร็งในปอด ในกระดูก และที่ลิ้น พูดไม่ได้น้ำลายไหลตลอดเวลา ไอเป็นเลือดมาก ปวดทั้งตัว เคลื่อนไหวไม่ได้
  • ธันวาคม 2007 หมอให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน มีเวลา 3 เดือนจัดการเรื่องส่วนตัว
  • 24 กุมภาพันธ์ 2008 เริ่มใช้ แคปซูล GM-1 อาการดีขึ้นเป็นลำดับ…โดย 4วัน สามารถลุกขึ้นนั่งเองได้, 10วัน อาการปวดลดลง ลุกยืนขึ้นได้, 24วัน เริ่มออกกำลังกายได้ น้ำลายหยุดไหล พูดสะดวกขึ้น
  • สัปดาห์ ผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์มะเร็งหยุดแพร่ ผลการตรวจเนื้องอกและมะเร็ง พบว่าเนื้องอก และมะเร็งลดลง ตับอยู่ในสภาพทำงานได้อย่างปกติ
  • ปัจจุบัน ขับรถได้ในระยะสั้น ไปชอปปิ้งได้ ออกกำลังกายได้ ไปทานอาหารนอกบ้านได้ เริ่มมีชีวิตอย่างปกติ
02
  • ตัวอย่างผู้เป็นมะเร็งผิวหนัง มีแผลที่หลัง ทายารักษามาตลอด 3 ปีก็ไม่หาย แพทย์ผิวหนังวินิจฉัยพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง ตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบเซลล์มะเร็ง และเริ่มมีเซลล์สะเก็ดเงิน
  • หลังจากรับประทานแคปซูล GM-1 ก่อนนัดทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์ พบว่าแผลมีอาการดีขึ้นมาก หมอจึงงดการทำเลเซอร์ อนุญาติให้ทาน แคปซูล GM-1 ต่อเนื่องอีกเดือนแล้วจึงมาตรวจผลใหม่อีกครั้ง ปรากฏว่าแผลดีขึ้นและเริ่มหายเป็นปกติ
03
  • ตัวอย่างผู้ติดเชื้อ HIV มาเป็นเวลา 2 ปี มีเชื้อราที่ปาก ติดเชื้อที่ปอด และอาการคันตามร่างกาย
  • ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 แล้ว เชื้อราที่ปากดีขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการติดเชื้อที่ปอด และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
04
  • ตัวอย่างผู้มีปัญหาสิวอักเสบบนใบหน้าตั้งแต่อายุ 26 ปี หลังคลอดบุตรคนแรก
  • เข้ารับการรักษาตามคลีนิคต่างๆ อาการก็ไม่ดีขึ้น และผิวหน้าแย่ลงเรื่อยๆ
  • หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 ในช่วงแรกสิวเห่อขึ้นบ้าง แต่เพียง 3 สัปดาห์อาการสิวอักเสบดีขึ้นมาก ปัจจุบันใช้ต่อเนื่องมา 4 เดือน ผิวหน้ากลับมาเป็นปกติ เป็นผลมาจากสรรพคุณของสารสกัดจากมังคุด GM-1 ในการต้านแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และเสริมภูมิคุ้มกัน
05
ตัวอย่างที่ 1 เป็นเบาหวานมา 14 ปี อาการหนักขึ้นเมื่อปี 2550 โดยเริ่มมีปัญหาไต และตับชื้น มีแผลเรื้อรังที่เท้า
  • หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วแผลดีขึ้น แผลเริ่มตกสะเก็ด สามารถวิ่งออกกำลังกายได้
     
ตัวอย่างที่ 2 เป็นเบาหวานมา 4 ปี น้ำหนักลดลงเหลือ 52 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 600 มิลิกรัม ต้องฉีดอินซูลีนทุกวันเช้า-เย็น โดยไม่มีอาการดีขึ้น
  • หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วอาการดีขึ้นมาก น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 65 กิโลกรัม น้ำตาลในเลือดลดลงเหลือ 150 มิลิกรัม
ตัวอย่างที่ 3 เป็นเบาหวาน ไตวายระยะที่ 2 มีแผลเรื้อรังในร่มผ้า
  • ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 แล้ว อาการไตวายและแผลเรื้อรังหายดีขึ้น
ตัวอย่างที่ 4 เป็นเบาหวาน 7-9 ปี มีบาดแผลลึกที่เท้า เริ่มมีเชื้อบาดทะยัก ใช้ยาฆ่าเชื้อแต่อาการไม่ดีขึ้น หมอเตรียมตัดเท้าทิ้ง
  • หลังจากใช้แคปซูล GM-1 แผลเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน 4 วัน และหายเป็นปกติใน 3 สัปดาห์
06
  • ตัวอย่างผู้เป็นพาร์คินสันที่ประเทศสหรัฐฯ มีอาการสั่นรุนแรงขึ้นเร็วมาก จนไม่สามารถถือแก้วน้ำดื่มเองได้ ต้องดื่มโดยใช้หลอด ไม่สามารถถือหนังสือพิมพ์อ่านเองได้ ต้องวางไว้บนโต้ะก้มลงอ่าน
  • หลังเริ่มใช้ แคปซูล GM-1 อาการสั่นเริ่มลดลงจนเกือบจะหายเป็นปกติ เดินได้ตรง สามารถออกกำลังกายได้ ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ
07
  • ตัวอย่างผู้มีอาการลำไส้ติดเชื้อ กินข้าวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลีย นอนป่วยมาเป็นเดือนๆ ต้องมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด มีอาการอาเจียนทุกครั้งหลังจากทานข้าว และยาที่หมอให้มา
  • หลังจากรับประทานแคปซูล GM-1 ครั้งละ 2 เม็ด ตอนเช้าและก่อนนอน วันรุ่งขึ้นสามารถลุกขึ้นอาบน้ำ และไปทำงานเองได้ กลับมารับประทานข้าวได้ตามปกติ และอาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากทานแคปซูลต่อเนื่องหนึ่งอาทิตย์
08
ตัวอย่างที่ 1 มีอาการอ่อนเพลีย หมดสติ วูบไปโดยไม่รู้ตัว พบว่ามีอาการตับเสื่อมอย่างรุนแรง
  • ได้เข้ารับการรักษาฟื้นฟูร่างกายที่ศูนย์ภูมิบำบัดราชพฤษ์ หลังจากได้ทาน แคปซูล GM-1 อาการดีขึ้น ไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือวูบหมดสติ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กลับมาแข็งแรงตามปกติ
ตัวอย่างที่ 2 มีอาการตาเหลือง ผิวเหลือง และปัสสาวะมีสีเหลือง ซึ่งแสดงถึงภาวะตับเสื่อม
  • หลังจากรัปประทานแคปซูล GM-1 ต่อเนื่อง 116 วัน ผลจากการตรวจเลือดแสดงว่าตับสามารถกลับมาทำงานเกือบปกติ
09
  • ตัวอย่างผู้มีอาการกระเพาะเรื้อรัง อาสาสมัคร 20 คน รับประทานแคปซูล GM-1 จำนวน 2 แคปซูลต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์
  • อาการปวดท้องจากแผลในกระเพาะอาหารหายไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อาทิตย์แรก
  • ผลการตรวจเลือดก่อนและหลังใช้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าใดๆในเลือดแสดงว่าปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง
10
  • ตัวอย่างผู้เป็นสะเก็ดเงินมา 15 ปี อาการเริ่มแรกเกิดขึ้นที่ท้ายทอย และลามไปตามตัว ตามร่างกาย ผิวมีลักษณะเป็นเกร็ดขาวๆ เดินไม่ได้ ลุกขึ้นไม่ได้ ทำงานไม่ได้
  • หมอวินิจฉัยว่าเป็นสะเก็ดเงิน ไม่สามารถรักษาได้ ให้ยามารับประทานแต่อาการไม่ดีขึ้น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ทำงานไม่ได้ เลยใช้ยาแบบทาอย่างเดียว ซึ่งต้องทาทุกวัน
  • หลังจากรับประทาน แคปซูล GM-1 แล้วผิวเรียบขึ้น กลับมาทำงานได้ตามปกติ
11
  • ตัวอย่างผู้มีอาการติดเชื้อราและแบคทีเรียตามผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ทั่วตัว และผิวอักเสบเป็นสีแดง
  • หลังจากใช้แคปซูล GM-1 ผิวกลับมาเรียบเนียนและคืนสู่ปกติ
12
  • ตัวอย่างผู้เป็นรูมาตอยส์มากว่า 14 ปี ทุกวันจะมีอาการปวดและอักเสบมาก ปวดตามข้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงเช้าจะปวดและอักเสบมาก
  • เข้ารับรักษามากว่า 10 ปีโดยใช้กลุ่มยาสเตอรรอยด์แบบฉีดเข้าข้อ และชนิดรับประทาน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น และมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
  • หลังจากรับประทานแคปซูล GM-1 แล้วเพียง 1-2 เดือน อาการปวดข้อตามจุดเล็กๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ข้อนิ้ว หัวไหล่
  • หลัง 3-4 เดือน ตรวจผลเลือดออกมาดีขึ้น ลดการใช้กลุ่มยาสเตอรรอยด์ลง
  • ปัจจุบัน ไม่ได้ใช้ยาสเตอรรอยด์แล้ว
13
  • ตัวอย่างผู้มีอาการลูกสะบ้าหัวเข่าเสื่อม ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่สามารถเดินได้ หมอที่ประเทศสหรัฐฯ วินิจฉัยให้ทำการผ่าตัดเพราะเอ็นขาด
  • หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว อาการปวดก็ยังไม่หาย และมีอาการเจ็บปวดมาก ไม่สามารถเดินได้เองจนต้องนั่งบนรถเข็น และได้ปฏิเสธการเปลี่ยนเข่าตามคำแนะนำของคุณหมอ
  • ได้มีโอกาสมาเมืองไทยแล้วใช้แคปซูล GM-1 ทาน 2 เม็ดก่อนนอนเป็นเวลา 7 วัน สามารถเดินเที่ยวในลาวได้ทั้งวันโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด
  • ปัจจุบัน สามารถเดินได้ตามปกติ โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวเข่าแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เช็ค 27 อวัยวะส่อ “ความแก่”


“ความแก่” ในที่นี้หมายถึง สังขารอันร่วงโรย ที่ไม่ได้ชี้วัดที่ตัวเลขของอายุเป็นสำคัญ แต่ดูที่ความเสื่อมของระบบต่างๆ รวมถึงอวัยวะสำคัญของร่างกาย

ตัวเลขทางอายุอาจเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายสึกหรอ แต่ด้วยปัจจัยทาง
สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน อาทิ รูปแบบการดำเนินชีวิต การออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหาร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อระบบร่างกายทั้งภายในและภายนอก โดยไม่จำเป็นว่า คนอายุมากจะต้องมีปัญหามากกว่าคนอายุน้อยเสมอไป
ดังตัวอย่างของอาการผิดปกติที่เกิดกับอวัยวะสำคัญต่างๆ ดังนี้

1. สมองเสื่อม ความจำเสื่อม ความคิด การตัดสินใจเลอะเลือน ตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ไม่ค่อยได้

2. ตา มองไม่ชัดเจนในระยะปกติ หรือระยะใกล้ 

3. หู อาจเกิดอาการไม่ค่อยได้ยิน ในกรณีที่คู่สนทนาพูดในระยะห่าง หรือในบางกรณีไม่ว่าคู่สนทนาจะอยู่ในระยะห่างไกล หรือใกล้ ก็ไม่ได้ยินเช่นกัน 

4. ฟัน ฟันเสีย ฟันหัก ฟันโยกง่าย 

5. ลิ้น ทานอะไรไม่ค่อยรู้รส ทุกอย่างดูจืดไปหมด ต้องกินรสจัดๆ โดยเฉพาะรสหวาน รสเค็ม

6. กระดูกสันหลัง จะมีอาการปวดโดยเฉพาะบริเวณต้นคอ ปวดคอ และมักจะลามไปถึงปวดหัวด้วย 
คอมักจะแข็ง เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก หันไปมองอะไรด้านข้างหรือด้านหลังลำบาก 

7. หลอดอาหาร เคี้ยวอาหารเสร็จแล้วกลืนลงลำบาก เมื่อดื่มน้ำหรือของเหลวอาจสำลักได้ง่าย 

8. ปอด หายใจได้ไม่เต็มที่ เวลาขึ้นที่สูงจะเหนื่อยง่าย เช่น ขึ้นบันไดบ้านหรือที่ทำงานเพียงชั้นเดียวก็เหนื่อยแล้ว 

9. หัวใจ มีอาการหัวใจเต้นไม่ปกติหรือไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวเต้นเร็ว เดี๋ยวเต้นช้า บางครั้งหมดแรงเหมือนจะเป็นลมง่ายๆ ทำงานออกแรงนานๆ ไม่ได้ 

10 กะบังลม คือ ที่กั้นระหว่างระบบหายใจกับช่องท้อง มีลักษณะเป็นแผ่น ดันขึ้นดันลงเวลาหายใจ โดยผู้สูงอายุควรระวังเรื่องการเลือกอาหารให้มาก เนื่องจากส่วนมากนั้นผู้สูงอายุมักจะกินอาหารแล้วย่อยยาก ทำให้ในท้องมีแก๊สหรือลมซึ่งจะดันกะบังลมให้ขึ้นไปอัดอยู่ข้างบน ส่งผลให้หายใจไม่ค่อยสะดวก และอาจเป็นลมได้ง่าย 

11. ตับ เกิดภาวะการทำงานเสื่อมหรือด้อยลง โดยเฉพาะถ้าดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่อง อาจทำให้การทำงานของตับจะยิ่งแย่ลง ท้องอืด มีลมเสียดท้องอยู่เป็นประจำ 

12. กระเพาะ อาจเกิดอาการทานอาหารไม่ค่อยได้ เพราะน้ำย่อยในกระเพาะเกิดภาวะกรดมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารทั้งระบบ 

13. ถุงน้ำดี ถ้าทานอาหารหวานๆ มันๆ เป็นประจำ อาจทำให้การย่อยโปรตีนและไขมันทำได้ไม่ดีนัก และเสี่ยงต่อภาวะนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย 

14. ตับอ่อน หากการทำงานของตับอ่อนเสื่อมลง จะทำให้มีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือดสูง และ
โรคเบาหวาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีน้ำหนักมากเกินเกณฑ์มาตรฐาน มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือดแทบทั้งสิ้น 

15. ไต อวัยวะสำคัญที่สุดอวัยวะหนึ่งในระบบขับถ่ายสิ่งมีพิษออกจากร่างกาย ซึ่งหากเลือกทานอาหารผิดมาตั้งแต่ต้น จะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการทำงานของไตเมื่ออายุมากขึ้น 

16. ต่อมหมวกไต หากใช้ชีวิตสมบุกสมบันมาตั้งแต่หนุ่มๆ สาวๆ ร่างกายอาจมีปัญหาเรื่องฮอร์โมน 
ซึ่งต่อมหมวกไตมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายมีแรงมีชีวิตชีวา นอกจากนี้ต่อมหมวกไตยังมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนสำคัญๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่จะช่วยในการย่อยอาหาร และฮอร์โมนที่จะทำให้เกิดพลังพิเศษเวลาตกใจ หรือเวลาที่จะต้องต่อสู้เอาตัวรอดด้วย 

17. ลำไส้ใหญ่ หน้าที่ของลำไส้ใหญ่คือ ขับถ่ายของเสีย (อุจจาระ) ออกจากร่างกาย แต่ก่อนจะเป็นอุจจาระ ลำไส้จะต้องเตรียมระบายน้ำจากของเสียทีละน้อยจากตอนต้นของลำไส้ใหญ่ และค่อยๆ เคลื่อนไปตอนกลางและตอนปลายของลำไส้ หากการทำงานของลำไส้ใหญ่ไม่ดี ระบบการขับถ่ายอุจจาระจะค่อยๆ เสื่อมลง ทำให้ท้องผูกหรือท้องเสียได้ 

18. ลำไส้เล็ก ยาวประมาณ 23 เมตร และเป็นส่วนที่ช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีนและไขมัน และหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่วยดูดซึมสารอาหารที่ย่อยแล้วส่งเข้าไปในกระแสโลหิต เพื่อไป
หล่อเลี้ยงร่างกาย ซึ่งร่างกายคนเราจะแข็งแรงสมบูรณ์ได้ก็เนื่องมาจากอาหารที่ถูกย่อย และดูดซึมเข้าไปเลี้ยงร่างกายจากลำไส้เล็กนี้ ฉะนั้น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมไม่ดีนั้น อาจทำให้ร่างกายไม่มีแรง 

19. ท่อปัสสาวะจากไต (Ureter) เป็นท่อน้ำปัสสาวะที่ไตขับออกมา แต่แทนที่จะออกจากไตโดยตรง น้ำปัสสาวะจากท่อสองท่อนี้ จะถูกนำไปเก็บรอไว้ที่กระเพาะปัสสาวะก่อน ผู้ที่มีการทำงานของไตและการขับถ่ายปัสสาวะผิดปกติ จะเกิดอาการปัสสาวะไม่ออก น้ำปัสสาวะย้อนผ่านท่อยูรีเทอร์ขึ้นข้างบนไปจนถึงไต ซึ่งเป็นอันตรายมาก 

20. กระเพาะปัสสาวะ เวลามีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะราด มักเกิดจากการมีปัญหาร่วมกันระหว่างอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ไตท่อยูรีเทอร์ กระเพาะปัสสาวะท่อปัสสาวะ และอวัยวะสืบพันธุ์ 

21. ท่อปัสสาวะ เป็นท่อปัสสาวะโดยตรงจากกระเพาะปัสสาวะผ่านอวัยวะสืบพันธุ์ และขับออกจาก
ร่างกาย โดยท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะสั้นกว่าของผู้ชาย 

22. ต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากอยู่รอบโคนอวัยวะสืบพันธุ์ชาย (ระหว่างปลายท่อปัสสาวะและโคนอวัยวะสืบพันธุ์) ตามสถิติผู้ชายอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปจะมีอาการต่อมลูกหมากอักเสบกันแทบทั้งนั้น 

23. อวัยวะสืบพันธุ์ชาย เมื่ออายุมากขึ้นมักจะมีขนาดเล็กลง และมักจะมีปัญหาในเรื่องการร่วมเพศและการปัสสาวะ 

24. ลูกอัณฑะ ทำหน้าที่สร้างสเปิร์มหรือเชื้ออสุจิ และจะหยุดสร้างเมื่อมีอายุมาก ซึ่งจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าใช้ชีวิตทางเพศสมบุกสมบันเพียงใด 

25. มดลูก – 26. รังไข่ – 27. ท่อรังไข่ อันที่จริงอวัยวะทั้งสามอย่างของคุณผู้หญิงนี้ อยู่ใกล้ชิดสนิทกัน มีหน้าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันในระบบการสืบพันธุ์ และการสร้างฮอร์โมน คุณผู้หญิงจะมีโอกาสตั้งครรภ์ตั้งแต่เป็นสาว จนกระทั่งถึงวัยหมดประจำเดือน หากหมดประจำเดือนเมื่อไรก็จะมีปรากฏการณ์ของ “ความแก่” แสดงตัวออกมาให้เห็น เพราะฉะนั้นถ้าหมดประจำเดือนเร็ว ความเสื่อมของอวัยวะทั้งสามอย่างจะเกิดขึ้นเร็ว นั่นหมายถึง “ความแก่” ก็จะมาเร็วด้วย

ลองสำรวจร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง และตอบคำถามอย่างจริงใจว่า “ความแก่” มาเยือนคุณหรือยัง ถ้าได้
คำตอบว่า “ยัง” ก็ควรถือโอกาสดีนี้ ดูแลตัวเอง ทั้งการรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพตามกำหนด เริ่มกันตั้งแต่วันนี้ แล้วความชราจะชะลอการมาเยือนทันทีเช่นกัน






Visitor Statistics

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รู้จักพาร์กินสัน โรคสั่นของคนสูงวัย


“พาร์กินสัน” โรคที่ชื่อฟังดูประหลาดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมถึงเจาะจง
เป็นเฉพาะคนสูงอายุ วันนี้เราจะพาไปทำความร ู้จักกัน



รู้เรื่องพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทบริเวณก้านสมอง ส่งผลให้สารเคมีชนิดที่
ชื่อว่า โดปามีน (Dopamine) ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีปริมาณลดลง ทำให้
การทำงานของระบบการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติ โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปทั้ง
ชายและหญิง 
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน คือ
1. ความชราภาพของสมอง เมื่อถึงวัยชราบางคนเซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีนจะมีจำนวนลดลง ซึ่งทำให้ความจดจำตลอดจนการสั่งการของสมองผิดปกติไปด้วย
2. การกินยากล่อมประสาท หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากผู้ป่วยทางจิตเวชที่ได้รับยากล่อมประสาทติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะมีโอกาสเป็นโรคพาร์กินสันได้เช่นกัน
นอกจากนั้นอาจมาจากสาเหตุอื่นๆ อาทิ สารพิษบางชนิด เช่น สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เข้าสู่ร่างกาย หรือในบางกรณีที่สมองขาดออกซิเจนในเวลานาน เช่น จมน้ำ ถูกบีบคอ หรือเกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหารเป็นต้น
อาการของพาร์กินสัน
1. อาการของโรคพาร์กินสันที่แสดงออกชัดเจนและมักพบในผู้ป่วยทั่วไปมีดังนี้คือ
2. อาการสั่น มักพบได้บ่อยที่มือและเท้า แต่บางครั้งผู้ป่วยบางคนก็เป็นที่คางหรือลิ้น ประมาณร้อยละ 60 70 ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น โดยเฉพาะเวลาอยู่นิ่งๆ จะสั่นมาก (ประมาณ 48 ครั้งต่อวินาที) แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมโดยไม่อยู่นิ่ง อาการสั่นก็จะลดลงหรือหายไป
3. อาการเกร็ง ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่บริเวณโคนแขน โคนขา และลำตัว แม้ว่าจะไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำงานหนักก็ตาม ผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดหรือต้องนวดอยู่เป็นประจำ
4. มีการเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ ระยะแรกผู้ป่วยอาจทำกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำตามปกติช้าลงและเคลื่อนไหวไม่กระฉับกระเฉงว่องไวเหมือนก่อน โดยเฉพาะระยะเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว ถ้าเป็นมากขึ้นอาจเดินเองไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้าหรือใช้คนพยุง
5. การทรงตัวลำบาก จนทำให้ท่าเดินผิดปกติไปจากเดิม นอกจากนั้นผู้ป่วยบางคนยังเดินหลังค่อม ตัวงอ มือชิดแนบลำตัวหรือเดินแข็งทื่อเป็นหุ่นยนต์ ทำให้หกล้มได้บ่อยๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางคนถึงกับกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก ศีรษะแตก เป็นต้น
6. นอกจากอาการข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันบางรายยังมีอาการแทรกซ้อนอื่นอีก เช่น สีหน้าเฉยเมย ไม่ค่อยยิ้ม เวลาหัวเราะดูเหมือนไม่มีอารมณ์และความรู้สึกใดๆ เสียงพูดมักจะเบา มีจังหวะเดียว ไม่มีเสียง
สูงต่ำ หากพูดไปนานๆ เสียงจะหายไปในลำคอ การเขียนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะเขียนหนังสือลำบาก
ตัวหนังสือจะค่อยๆ เล็กลงจนอ่านไม่ออกในที่สุด มีปัญหาด้านสายตา ผู้ป่วยจะไม่สามารถกลอกตาไปมาได้
คล่องแคล่วอย่างคนปกติ เพราะลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุก 

7. นอกจากนั้นผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการท้อแท้ สิ้นหวัง ซึมเศร้า ซึ่งบางครั้งอาจเป็นมากถึงขั้นทำร้ายตัวเอง และอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องผูกเป็นประจำ อ่อนเพลีย เป็นต้น
แนวทางการรักษา
เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรังชนิดที่รักษาไม่หายขาด ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับยาและรักษาไปตาม
อาการตลอดชีวิตภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยแพทย์ได้แบ่งแนวทางในการรักษาไว้ดังนี้คือ

รักษาโดยการใช้ยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่สามารถทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นตัวหรือกลับมางอก
ทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่การรักษาโดยการใช้ยาจะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณเพียงพอกับความ
ต้องการของร่างกาย โดยยาที่ใช้ในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม คือ ยากลุ่ม Levodopa ซึ่งเมื่อยาชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย
แล้วจะถูกแปลงเป็นสารโดปามีนเพื่อเสริมเซลล์สมองที่ไม่สามารถผลิตสารดังกล่าวได้มากพอ และยากลุ่ม
Dopamine Agonist ซึ่งออกฤทธิ์โดยเลียนแบบผลของโดปามีนในการนำส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทหนึ่ง ซึ่งในการใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากแพทย์ตามความเหมาะสมของผู้ป่วยเป็นหลัก

การทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการรักษาคือ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนปกติมากที่สุดซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่ายๆ คือ การพยายามทำกายภาพบำบัดด้วยการฝึกเดิน การฝึกพูด ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องได้รับการเอาใจใส่จากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจอย่างเต็มที่
การผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดโดยมากจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยและมีอาการผิดปกติไม่มากนัก หรือในผู้ที่อาการแทรกซ้อนจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานานๆ เช่น อาการสั่นรุนแรง หรือมีการเคลื่อนไหวแขนขามากผิดปกติ เป็นต้น
นอกจากนั้นการออกกำลังกายมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสัน เพราะสามารถจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น การวิ่ง
เหยาะๆ การเดินเร็วๆ ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

แม้ว่าโรคพาร์กินสันมักจะเกิดขึ้นได้กับคนสูงวัย แต่อย่าลืมว่าการเตรียมพร้อมรับมือกับสารพัดโรคอยู่
เสมอ โดยการดูแลสุขภาพของตัวเองทั้งการออกกำลังกาย กินอาหารที่ถูกต้อง ทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่เครียด
กับชีวิต ย่อมดีกว่าการที่จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลย เพราะโรคบางโรคเมื่อรอให้ถึงตอนแก่แล้วค่อยมาหาทางรักษา บางครั้งมันก็สายไปเสียแล้ว



http://www.asianlifeonline.net/02-Bim100/?id=M37757




daily hits